ฉาวสนั่นวงการเพลง! สาว 18 แฉ ถูกลวงจ้างให้หลับนอนกับแรปเปอร์ดัง โดยแฟนสาวศิลปินเป็นคนติดต่อ ล่าสุด ถูกออกหมายเรียกแต่ยังเงียบสนิท ด้านนักสิทธิเผย คนมีชื่อเสียงยิ่งต้องมีคุณธรรม แม้สาวยินยอมก็ยังผิด ยิ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะโทษยิ่งสูงขึ้น!
แม้ยินยอมก็ยังมีความผิด!
กลายเป็นประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจและสะเทือนวงการเพลงอยู่ในขณะนี้ กับกรณีที่มีหญิงสาวชาวสตูล วัย 18 ปี แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ริน (นามสมมติ) ฐานเป็นธุระชักชวนเธอให้ไปสนองความใคร่ของแฟนหนุ่มที่เป็นศิลปินเพลงแรปชื่อดัง เจ้าของเพลงฮิตยอดวิวหลักร้อยล้านในยูทูป
โดยวัยรุ่นสาวเล่าว่า เธอเป็นแฟนคลับของแรปเปอร์มาก่อน ได้รับการติดต่อผ่านเฟซบุ๊กจากแฟนสาวของแรปเปอร์ ให้มาดูแลเรื่องอาหารแต่ละมื้อ ดูแลห้องอัด และทำงานบ้านให้หนุ่มแรปเปอร์ ตกลงค่าจ้างวันละ 1,000 บาท เธออ้างว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องเซ็กซ์ แต่หลังจากนั้นเริ่มมีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะ น.ส.ริน แจ้งว่าเลิกรากับแฟนหนุ่มแล้ว ตนจึงตอบตกลง น.ส.ริน เป็นผู้ดูแลเรื่องการเดินทางมา จ.ขอนแก่น และที่พักให้อยู่ประมาณเกือบ 2 สัปดาห์
สาวชาวสตูลกล่าวว่า มีเพศสัมพันธ์กัน 3 ครั้ง ซึ่ง น.ส.ริน อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และระหว่างที่มีสัมพันธ์กัน บางครั้งก็ไม่ได้มีการป้องกัน แฟนของแรปเปอร์จึงให้เธอกินยาคุมกำเนิดแบบ 28 วัน แต่มารู้ภายหลังว่าเป็นการกินแบบผิดวิธี เพราะต้องใช้ยาคุมฉุกเฉิน เธอจึงกังวลถึงเรื่องการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยังเสริมอีกว่า นอกจากตนเองแล้ว ยังมีผู้ที่ถูกล่อลวงในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคน แต่ยังไม่มีใครกล้าเข้าแจ้งความ
ขณะเดียวกัน ก็มีชาวเน็ตหลายคนตั้งข้อสังเกตไปยังตัววัยรุ่นสาวรายนี้ ที่ทำไมถึงต้องไปหาแรปเปอร์หนุ่มถึง 3 ครั้ง ซึ่งเธอก็ได้ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ห่วงเรื่องความปลอดภัยของตนเอง กังวลว่า หากทำงานไม่จบอาจถูกทำร้ายร่างกายได้ เพราะเคยมีคนโดนมาหลายรายแล้ว ส่วนเรื่องคลิปวาบหวิวของเธอที่หลุดออกมานั้น เธอยอมรับว่า ตนเองขายเพียงคลิป แต่ไม่ได้ขายตัว ซึ่งคลิปดังกล่าวผ่านมาตั้งแต่ 8 เดือนที่แล้ว
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกแฟนสาวของแรปเปอร์ ในข้อหามาตรา 282 ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หากผู้ถูกกล่าวหามีหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหา ก็สามารถนำมามอบให้พนักงานสอบสวนใช้ประกอบการสอบปากคำด้วยก็ได้ แต่ทางด้านของแรปเปอร์ และตัว น.ส.ริน ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ และไม่สามารถติดต่อได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีมข่าว MGR Live ได้ต่อสายตรงไปยัง สุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้ที่ทำงานด้านนี้โดยตรง เขาให้ความเห็นสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ที่ว่า แม้ตัววัยรุ่นสาวจะยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ แต่การกระทำลักษณะเดียวกันกับแฟนของแรปเปอร์หนุ่มนั้นก็เข้าข่ายมีความผิด
[ สุรพงษ์ กองจันทึก ]
“อันนี้เป็นประเด็นใหญ่ ถ้าอายุเลย 18 ไปแล้วก็ต้องดูเรื่องบรรลุนิติภาวะ ประเทศไทยถือการบรรลุนิติภาวะอยู่ที่อายุ 20 ปี เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ที่สำคัญของผู้ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ต้องให้พ่อแม่มายินยอมด้วย ในการนี้ยังไม่ทราบว่ามีการยินยอมจากพ่อแม่หรืออย่างไร ซึ่งอาจทำให้การทำงานนั้นไม่ถูกต้องแต่แรก
พอมีข้อตกลงการทำงานก็สามารถจ้างงานกันได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อตกลงที่พูดคุยกัน แต่ถ้าบิดพลิ้วไปด้านอื่นก็ถือว่านอกข้อตกลงในการทำงาน ก็สามารถเลิกจ้างงานได้ และต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย แต่กรณีนี้พอน้องไป เป็นการล่อลวงไปทางเพศ ก็อาจจะมีความผิดตามที่พนักงานสอบสวนตั้งเอาไว้ คนที่มาติดต่อก็มีความผิดฐานที่จะพยายามชักจูงหรือล่อลวงไป ก็มีความผิดทางด้านเพศตามมาอีก ในการล่วงละเมิดทางเพศกับน้องเขา
พูดในแง่กฎหมาย ปัจจุบันการค้าประเวณียังไม่ได้รับการยอมรับและยังผิดกฎหมายอยู่ คนที่ทำก็ยังมีความผิดตามกฎหมายถึงแม้ว่าในประเทศที่เขามีกฎหมายในด้านนี้ กระบวนการที่จะไปค้าประเวณีมันต้องมีขั้นตอนในการขึ้นทะเบียน ในการทำอะไรที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาชักจูงใจกัน แล้วจะมาอ้างว่ากฎหมายเปิดโอกาสไม่ได้ครับ ประเทศที่เขามีก็มีขั้นตอน ดูแลความปลอดภัย ไม่ใช่มีการล่อลวง แล้วยิ่งไปทำกับคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะด้วย โทษก็จะยิ่งสูงขึ้น”
ยิ่งเป็นคนดัง ยิ่งต้องมีคุณธรรม!
“ในแง่สังคม นักร้องหรือคนที่เป็นดารา คนที่มีชื่อเสียง คนของสาธารณะ มีแฟนคลับจำนวนมาก ด้วยเรื่องหน้าตา เสียงร้อง ก็อาจจะชักจูงให้มีการชื่นชอบ ฉะนั้น คนที่เป็นนักร้องจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีคุณธรรมมากกว่าคนปกติ หมายความว่า จะมีคนที่พร้อมเข้ามาหาเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีชื่อเสียง เขาถูกโปรโมตให้ดัง มีการสร้างภาพลักษณ์ ซึ่งดูดี ดังนั้น ตัวนักร้องเองหรือคนที่เกี่ยวข้องทำหมด เกี่ยวข้องกับวงการนี้ ต้องระวังในเรื่องของคุณธรรมให้สูงที่สุด”
นักสิทธิมนุษยชนรายเดิมได้สะท้อนต่อว่า เรื่องราวในลักษณะนี้เกิดขึ้นมาช้านานแล้ว ซึ่งควรจะแก้ที่ต้นทาง คือ ตัวศิลปินเอง ในฐานะผู้ที่สังคมจับตาอยู่
“ในต่างประเทศถึงขั้นบอกว่า คุณจะมาแตะตัวนักร้องไม่ได้ หรือจะมาเขียนอะไรที่ออกไปทางอาจจะเกิดเรื่องชู้สาวไม่ได้เลย แล้วยิ่งเป็นนักร้องชายก็จะพบว่ามีเด็กผู้หญิงมาชื่นชอบจำนวนมาก ก็เกิดความเสียหาย จะต้องมีการ “กรอง” เรื่องเหล่านี้โดยคนที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่างประเทศให้ความสำคัญและซีเรียสมากๆ เพราะไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดมานานและเกิดความเสียหายกับผู้หญิงจำนวนมาก
บ้านเรายังไม่มีมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจัง นักร้องบางคนไปมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคลับเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดี ตัวนักร้องและกลุ่มที่เขาไปจัดขบวนการให้นักร้องมีชื่อเสียง จะต้องมีการรับผิดชอบหรือแก้ไขเรื่องนี้ตั้งแต่แรก สมมติมีการไปล่วงละเมิดทางเพศ ที่ผู้ชายทำมีความผิด แฟนเขาอาจจะต้องรับผิดด้วย ฐานะเป็นผู้ร่วม ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดครับ
ต้องเรียกร้องให้ ตัวนักร้อง ผู้จัดการ และสมาคมนักร้องทั้งหลายเข้ามาควบคุมเรื่องเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่เคสแรกที่เกิด ส่วนใหญ่พอเคสที่เกิดเป็นผู้หญิง ก็ไม่กล้าสู้ ไม่กล้าตอบเรื่องการไปมีเพศสัมพันธ์ คงเน้นไปที่วงทางบันเทิง จะต้องมีการระวังกันในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่โปรโมตนักร้องแง่มุมเดียว ต้องช่วยกันดึงวงการบันเทิง มาเฝ้าระวัง มีกฎเกณฑ์ จริยธรรมในเรื่องเหล่านี้เพิ่มเติมด้วยครับ ควรจะต้องแก้ไขทั้งเคสของน้องเองและเคสอื่นที่จะต้องไม่เกิดเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป”
สุดท้าย เขาได้ฝากถึงการใช้โซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ที่แค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถเชื่อมถึงกันได้โดยง่าย ผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องสอดส่องดูแลบุตรหลาน โดยเฉพาะผู้ที่ยังอยู่วัยยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างใกล้ชิด
“ปัจจุบันมันไม่เหมือนกับในยุคก่อน ทุกคนมีอิสระกันมากขึ้นในการสื่อสาร ในระบบการสื่อมันเข้าถึงคนทุกคนได้ง่ายโดยผ่านมือถือ เด็กๆ ก็สามารถเห็นโลกวินาทีต่อวินาที รวดเร็วมาก และคนภายนอกก็สามารถเข้าถึงตัวเด็กโดยผ่านมือถือแบบง่ายๆ ไม่ต้องนัดเจอกัน ไม่ต้องผ่านใคร ไม่ต้องเดินทางจากขอนแก่นไปถึงสตูล ก็สามารถโต้ตอบได้โดยที่ผู้ปกครองหรือคนอื่นไม่มีใครรู้
ระบบสังคมจำเป็นจะต้องรีบปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีที่มันเปลี่ยนไป ครูที่ต้องเข้าไปดูแลเด็กใกล้ชิดขึ้น พ่อแม่ต้องใกล้ชิดขึ้น ไม่ใช่เข้าไปควบคุมการเข้าถึงสื่อหรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่เป็นการทำยังไงให้เด็กเท่าทันเรื่องเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันครับ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **