รายงานพิเศษ/ทีมข่าวภูมิภาค
ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบไปทั่วประเทศ ทั้งในส่วนของเศรษฐกิจ การศึกษา ซึ่งส่วนท้องถิ่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่หนีไม่พ้น การเตรียมความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งป้องกันประชาชน โรงเรียนในสังกัด ตลอดจนการสนับสนุนงบประมาณในการตั้งโรงพยาบาลสนาม สถานที่กักตัว หรือการเตรียมพื้นที่ในการฉีดวัคซีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่วนท้องถิ่นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมสำคัญแทบทั้งสิ้น
นายวิษณุ วิทยวราวัฒน์ ท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้มีการเตรียมความพร้อมในการที่จะเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษา 2564 ที่จะถึงนี้ โดยให้มีการสำรวจบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษาที่อยู่ในกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งที่เป็นโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อส่งต่อให้สาธารณสุขดำเนินการต่อ
นายวิษณุ กล่าวต่อว่า นโยบายดังกล่าวทางสำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่จึงออกหนังสือ แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ทำการสำรวจกลุ่ม บุคคลที่กล่าวมาข้างต้น ก็ให้สำรวจทีเดียวทั้งหมดที่อยู่ในสถานศึกษาของ อปท. นั้น ซึ่งก็มีบุคลากรทางการศึกษา รวมไปถึงสำรวจนักเรียนด้วยทีเดียว ก็จะใช้แบบฟอร์มสำรวจแบบเดียวกับที่ อสม. ลงพื้นที่เคาะประตูบ้านสำรวจประชาชน ให้สำรวจมาว่า บุคลากรทางการศึกษาของแต่ละแห่งนั้นมีความประสงค์ ฉีด ไม่ฉีด หรือ ลังเล การฉีดวัคซีนโควิด-19 ส่วนนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็จะสำรวจเป็นข้อมูลไว้ เพื่อส่งต่อให้กับสาธารณสุขจังหวัดไว้ดำเนินการต่อไปหากมีนโยบายที่จะดำเนิน การกับกลุ่มที่มาอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ไม่ต้องกลับมาทำการสำรวจอีก ถึงเวลานั้นก็ดำเนินการได้เลย
“อีกว่า สำหรับบุคลากรทางการศึกษาที่ประสงค์ฉีดวัคซีน เบื้องต้นได้ประสานกับทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ได้วางแนวทางไว้ ว่า จะจัดสรรให้แก่บุคลากรทางการศึกษากลุ่มนี้ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงก่อน คือ อำเภอที่มีการระบาดมากๆ ส่วนอำเภอที่เหลือก็จะจัดสรรให้ในรอบต่อๆ ไป ตามที่จังหวัดเชียงใหม่จะได้รับการจัดสรรวัคซีนมาในแต่ละรอบ โดยเฉลี่ยกันไปในกลุ่มต่างๆ” ท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ กล่าว
ส่วนที่จังหวัดขอนแก่น นายศุภชัย ลีเขาสูง นายอำเภอเมืองขอนแก่น พร้อมด้วย นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุข จ.ขอนแก่น เป็นประธานการประชุมการดำเนินงานให้บริการวัคซีนโควิด-19 ในเขตพื้นที่ อ.เมืองขอนแก่น โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ อ.เมืองขอนแก่น เข้าร่มประชุมอย่างพร้อมเพรียง
นายศุภชัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้กำหนดพื้นที่รองรับประชาชนเข้าฉีดวัคซีน ใน 4 จุดหลัก คือที่ รพ.ขอนแก่น, รพ.ศรีนครินทร์, รพ.สิรินธร และ รพ.ค่ายศรีพัชรินทร์ มทบ.23 ทั้งยังคงประสานงานร่วม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะต้องมาระดมช่วยกันตั้งแต่ในระดับพื้นที่ ชุมชน, หมู่บ้าน ครอบคลุมทุกตำบล เพราะถือเป็นปฏิบัติการครั้งสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการดำเนินงาน ตามแนวทางที่รัฐบาลกำหนด ขณะเดียวกันทุกฝ่ายจะต้องเร่งลงพื้นที่ซักซ้อมทำความเข้าใจและเชิญชวน ประชาชนให้เข้ามารับบริการฉีดวัคซีน โดย อ.เมืองขอนแก่น ตั้งเป้าในการรับวัคซีนรวม 300,000 คน
ขณะที่ นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ในวันที่ 1 มิ.ย. จะเป็นวันดีเดย์และเป็นวันปฎิบัติการครั้งสำคัญ ที่ทั้งจังหวัดจะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยในลอตแรกต้นเดือ มิ.ย. จะมีวัคซีนเข้ามาในพื้นที่ กว่า 10,000 โดส ซึ่งจะฉีดให้กับประชาชนได้มากกว่า 6,000 คน โดยในชุดแรกจะเน้นบุคลากรด่านหน้าที่จะต้องปฏิบัติงานในการที่จะให้บริการ ฉีดวัคซีน ให้ประชาชน
“และก่อนถึงวันที่ 7 มิ.ย. จังหวัดจะได้รับวัคซีนจากแอสต้าเซเนก้า ประมาณ 80,000 โดส ซึ่งก็จะมีการจัดสรรตามแผนงานที่กำหนด คือจะสามารถฉีดได้ประมาณ 200,000 โดส ต่อเดือน สูงสุดทั้งจังหวัดอยู่ที่ 25,000 โดสต่อวัน ขณะที่ระบบการลงทะเบียนมีการวางไว้ 3 แนวทางประกอบด้วย การใช้แอพพลิเคชั่นหมอพร้อม สำหรับคนที่มีสมาร์ทโฟน ส่วนที่ 2 คือการจองในระบบที่เป็นทั้งการส่งแผนไปที่กระทรวงสาธารณสุขและได้มีการ ดำเนินการในส่วนของการให้ อสม. เดินสำรวจ เพราะวันนี้เป็นการฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจ ซึ่งจะต้องมีการยืนยันว่าเจ้าตัวมีสิทธิ์และจะใช้สิทธิ์นั้นหรือไม่ ส่วนที่ 3 คือคนที่นอกเหนือจากกลุ่มนั้น ที่ประสงค์จะฉีด โดยวางสัดส่วนคือลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมร้อยละ 30 การสำรวจที่เข้าถึงประชาชนให้สัดส่วนร้อยละ 50 และกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง ให้สัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 20 หลังจากให้สัดส่วนแล้วก็ได้มีการกำหนดจุด ให้บริการวัคซีนทั้งจังหวัด 33 จุด ในจำนวนนี้ในเขต อ.เมือง ตั้งจุดบริการวัคซีน 9 จุด” นพ.สมชายโชติ
ขณะที่จังหวัดสตูล นายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.สตูล กล่าวว่า ในเดือนมิถุนายน 2564 จังหวัดสตูลจะได้รับการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca จำนวน 14,000 โดส โดยได้กำหนดแผนการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้สอดคล้องกับสัดส่วนของกลุ่มประชากรใน พื้นที่ทั้ง 7 อำเภอ เบื้องต้นกำหนดฉีดให้ได้วันละ 4,400 คน/วัน แบ่งเป็นพื้นที่อำเภอเมือง 1,500 คน/ วัน, อำเภอละงู 800 คน/วัน , อำเภอควนโดนและอำเภอท่าแพ 500 คน/วัน , อำเภอควนกาหลงและอำเภอทุ่งหว้า 400 คน/วัน และอำเภอมะนัง 300 คน/วัน ทั้งนี้จะใช้สถานที่ฉีดคือโรงพยาบาลสตูลและโรงพยาบาลประจำอำเภอ คาดว่าจะสามารถฉีดให้แล้วเสร็จตามยอดของวัคซีนที่ได้รับภายใน 2 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2564 ด้วย ซึ่งจะกระจายให้ครอบคลุมทั้งผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีความพร้อมเข้ารับการฉีดวัคซีนตามลำดับ โดยได้ตั้งเป้าการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรให้ได้ 70 % ภายในระยะเวลา 4 เดือน (มิ.ย.-ก.ย. 64) จากประชากรทั้งหมด 310,000 คน
“ได้เน้นย้ำให้ทุกอำเภอมีการจัดตั้ง War Room ในระดับอำเภอรวมถึงระดับจังหวัด เพื่อเป็นการบริหารจัดการและติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนในทุก ๆ วัน พร้อมทั้งสรุปเป็นผลการดำเนินงานในรอบเดือนด้วย เพื่อให้เกิดการสอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ อีกทั้งเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้ว่าจะได้รับวัคซีนโควิด -19 ทุกคนอย่างทั่วถึงแน่นอน” ผวจ.สตูล กล่าว
ในส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายแพทย์พงษ์พจน์ ธีรานันตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้หอผู้ป่วยเฉพาะกิจโรงแรมประจวบสามอ่าว อ.เมือง ซึ่งใช้เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ได้ปิดให้บริการแล้ว หลังจากมีจำนวนผู้ป่วยลดลง และปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิดที่อยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล ไม่มากและหากในอนาคตมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ จะประสานกับผู้ประกอบการเจ้าของโรงแรมเพื่อขอใช้สถานที่เปิดบริการหอผู้ป่วย เฉพาะกิจต่อไป
ว่าที่ร้อยตรี ธีรยุทธ ธีระโสพิศ ปลัด อบจ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า กองคลัง อบจ.ได้กำหนดวงเงิน 8 แสนบาท เพื่อเช่าโรงแรมประจวบสามอ่าว เป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจตามนโยบายและข้อสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งปฏิบัติตามหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 หลังจากมีการคำนวณการใช้พื้นที่เป็นตารางเมตร อบจ..จะเบิกจ่ายค่าเช่าพื้นที่ ให้เจ้าของโรงแรมจำนวน 5 แสนบาท โดยถือว่าขณะนี้สิ้นสุดสัญญาการใช้ หากจะมีการใช้โรงแรมดังกล่าวอีกครั้งจะต้องมีการบันทึกข้อตกลงใหม่