เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ป้องกันขาดแคลน-ขายเกินราคา สำรวจกำลังผลิต 4-5 ล้านชิ้นต่อวัน นายกฯให้ความมั่นใจ ดูแลโควิด จชต.ทั่วถึง พร้อมแล้ว 2,000 เตียง คุมเข้มเข้า 4 ด่าน ทางบก ไม่กระทบการค้าชายแดน
วันนี้ (18 เม.ย.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแนวทางป้องกันการขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง มีกระบวนการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ผ่านคณะอนุกรรมการบูรณาการการบริหารพัสดุ สำหรับการป้องกัน ควบคุม การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีหน้ากากอนามัยและพัสดุที่เกี่ยวข้องใช้อย่างเพียงพอ ทั้งในสถานพยาบาลและประชาชนทั่วไป รวมถึงได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ซึ่งล่าสุด คณะอนุกรรมการได้ประชุมและประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ โดยมี สาระหลัก คือ
1) กำลังการผลิตจากโรงงาน 63 แห่งภายในประเทศ ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยในท้องตลาด ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านา (เดือนมกราคม-มีนาคม 2564) รวมวันละ 4-5 ล้านชิ้นต่อวัน มีการนำเข้าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 28.69 ล้านชิ้น และที่ไม่ได้ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 228.13 ล้านชิ้น หน้ากากผ้าลิขสิทธิ์ จำนวน 238.23 ล้านชิ้น และหน้ากากกันฝุ่นในโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 992.98 ล้านชิ้น
2) มีการเตรียมการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้มีความพอเพียงกับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศในช่วงนี้แล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ
3) กรมการค้าภายใน สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามตรวจสอบคุณภาพหน้ากากอนามัยในท้องตลาดให้เป็นไปตามมาตรฐาน ดำเนินการจับกุมผู้ลักลอบนำหน้ํากากอนามัยใช้แล้วมาจําหน่ายใหม่และควบคุมราคาจำหน่ายให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้กำหนดราคาจำหน่ายและการแจ้งข้อมูลหน้ากากอนามัย โดยผู้ขายจะต้องขายหน้ากากอนามัย (Surgical mask) ไม่เกิน 2.50 บาทต่อชิ้น การส่งออกต้องขออนุญาตและเป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากประชาชนพบข้อมูลเบาะแสการจำหน่ายเกินราคาสามารถแจ้งสายด่วน กรมการค้าภายใน หมายเลข 1569 ได้ทันที
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการบริหารจัดการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 นับจากวันที่ 1-17 เม.ย. จำนวน 539 ราย พบในจังหวัดสงขลา 179 ราย (ส่วนใหญ่ติดจากสถานบันเทิง) นราธิวาส 348 ราย (ส่วนใหญ่ติดจากเรือนจํา) ปัตตานี 6 ราย ยะลา 5 ราย และ สตูล 1 ราย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียที่มีชายแดนติดกัน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มประมาณ วันละ 1,500-2,000 ราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้อำนวยความสะดวกคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากมาเลเซีย พร้อมปฏิบัติตามมาตรสาธารณสุขในการคัดกรองโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
สำหรับการดำเนินการเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รายงานว่า ศอ.บต.ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 12 คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ และองค์กรทางศาสนา โดยแบ่งเป็น 1) การจัดหาเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งเตียงในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel มีจํานวน รวม 1,933 เตียง (ณ 11 เมษายน ) แยกเป็น จังหวัดนราธิวาส 1,245 เตียง สงขลา 171 เตียง ปัตตานี 218 เตียง ยะลา 179 เตียง และสตูล 120 เตียง 2) การซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาตามประกาศของสํานักงานจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด เพื่อผู้เกี่ยวข้องจะได้สื่อสารให้ประชาชนได้ทราบและถือปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในช่วงเทศการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และ 3) การดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ในระยะแรก แต่ละจังหวัดได้รับ 10,000 โดส รวม 50,000 โดส
ส่วนการบริหารจัดการด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ที่ประกอบด้วย ทางบก 7 ด่าน ทางน้ำ 2 ด่าน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน จึงอนุญาตให้คนไทยเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซียเข้าทางด่านถาวรทางบกเพียง 4 ด่าน (สุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส, ด่านเบตง จังหวัดยะลา, ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา และด่านวังประจัน จังหวัดสตูล) สัปดาห์ละ 3 วัน (วันจันทร์ พุธ และศุกร์) ด่านละไม่เกิน 125 คนต่อวัน ทั้งนี้ การจำกัดการเดินทางเข้าประเทศดังกล่าว ไม่กระทบการค้าชายแดน เพราะยังคงมีการนําเข้าและส่งออกสินค้าเป็นปกติโดยเฉพาะสินค้าที่จําเป็นในการอุปโภคและบริโภค และดําเนินการตามมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด
“นายกรัฐมนตรียังได้ส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องชาวไทยมุสลิมภาคใต้ ที่ปฏิบัติศาสนกิจสำคัญในเดือนรอมฎอน และขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในทุกๆ ด้าน เพื่อความปลอดภัยสุขภาพของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน” นางสาวรัชดา กล่าว