ภาคประชาสังคมร่วมประกาศเจตนารมณ์ จี้รัฐบาลเป็นหุ้นส่วนพัฒนาบนพื้นฐานประชาธิปไตย “อภิสิทธิ์” เสนอ 5 ข้อทางออก หลังรัฐบาลผ่านร่างกม.คุมNGO ห่วงบีบไร้อิสระ
ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมจังหวัด 8 จังหวัด จัดเวทีเสวนาเรื่อง “ประชาสังคม : ควบคุม VS ส่งเสริม” ซึ่งมีการถกประเด็นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. … ที่ภาคประชาสังคมเกิดข้อกังวลว่า กฎหมายดังกล่าวจะกีดกันการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และควบคุมการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
ทั้งนี้ ในการประชุม เครือข่ายภาคประชาสังคมได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เพื่อให้รัฐบาลส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานองค์กรภาคประชาสังคม โดยภาคประชาสังคม 8 จังหวัด ประกอบด้วย ลำพูน พะเยา สุพรรณบุรี ระยอง สุรินทร์ อำนาจเจริญ พัทลุง สตูล และเครือข่ายต่างๆ รวมทั้ง ภาครัฐ เอกชน ประกาศเจตนารมณ์ว่า ภารกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จะต้องตอบสนองครอบครัว นิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปัจฉิมกถา บทบาทภาคประชาสังคมกับหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืน ถึงกรณีที่มีร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม ว่า จากการพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งกัน พ.ศ. …. หรือเรียกได้ว่าเป็นร่าง พ.ร.บ.ควบคุม NGO ไม่เชื่อว่าจะมาจากกระบวนการภาคประชาสังคมจริง หลายครั้งที่อยากได้ส่งเสริมเพื่อส่งเสริม แต่กลับกลายเป็นกฎหมายเพื่อควบคุม ซึ่งการอาศัยงบประมาณของราชการ สิ่งที่ต้องระวัง คือ ความเป็นอิสระ การเดินหน้ากฎหมายจึงต้องทำอย่างรัดกุม เป็นไปตามหลักการที่อิสระของภาคประชาสังคม
“ 5 ข้อเสนอทางออกให้ภาคประชาสังคม คือ เรื่องที่ 1 สิ่งที่ภาคประชาสังคมจะขับเคลื่อนได้มีประสิทธิภาพ คือ หัวใจการเข้าถึงข้อมูล โดยผมเคยทำกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่ง ณ ขณะนั้นก็ถือว่าเป็นกฎหมายก้าวหน้า แต่ปัจจุบันใช้มา 20 กว่าปีก็ยังไม่ตอบโจทย์ และปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก กฎหมายนี้ จึงควรต้องมีการอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคประชาสังคมในการใช้ข้อมูลของทางราชการ ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ต้องจัดระบบการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนในการขับเคลื่อนนโยบายที่ผู้มีส่วนได้เสียควรต้องเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่การแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์หน่วยงานรัฐ เพราะตนไม่แน่ใจว่า เมื่อแสดงความคิดเห็นแล้วมีการอธิบายหรือมีการนำไปใช้อย่างไรต่อ เรื่องที่ 3 ระบบเงินอุดหนุนที่เป็นอิสระ ซึ่งก็มีต้นแบบ สสส. หรือกองทุนความเท่าเทียมการศึกษา แต่ก็ต้องพิจารณาให้ดีว่า อะไรเหมาะสม อะไรเป็นไปได้
เรื่องที่ 4 หากเราเห็นว่ามีหน่วยงานไหนบ้างที่ไปทำงานกับโครงการใดและมีผลกระทบต่อพื้นที่ต่อชุมชน จะทำอย่างไรให้หน่วยงานเหล่านั้นสามารถที่จะดึงภาคประชาสังคมไปทำงานร่วมกันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดกฎระเบียบ ซึ่งจริง ๆ องค์กรที่น่าจะทำลักษณะนี้ได้ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องหาทางปรับกฎหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาทำงานกับภาคประชาสังคมได้ และ เรื่องที่ 5 ต้องมีกระบวนการเปิดให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม โดยควรทำเป็นระบบมากขึ้น
“ที่ผ่านมา การใช้งบประมาณ สำหรับหน่วยงานแบบเฉพาะ เริ่มต้นขึ้นเพื่ออยากให้มีอิสระในการทำงาน แต่สุดท้ายพบว่า หน่วยงานเหล่านี้ก็เจอวิบากกรรม รัฐมีการออกวิธีใช้งบประมาณที่เปลี่ยนแปลงจากจุดเริ่มต้น ทำให้ไม่มีอิสระ เพราะหากรับไปก็อาจเป็นการเปิดประตูให้เกิดประชาสังคมเทียม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว