เดินลัดเลาะสำรวจถ้ำด้วยความระทึกใจไปกับการผจญภัยในบทตอนเล็ก ๆ ที่สตูลมอบให้ทุกคนเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ กับความงดงามของถ้ำเจ็ดคตที่มีลักษณะคดเคี้ยวและทะลุผ่านภูเขา โดยช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดคือราว ๆ เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เมื่อฝนโปรยปรายลงมาช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำธารให้มีมากขึ้น ทำให้สามารถล่องเรือเข้าไปในถ้ำเพื่อชมธรรมชาติและหินงอกหินย้อยได้อย่างสะดวกสบาย บางมุมจะได้ตื่นตากับหาดทรายขาวระยิบระยับคล้ายเพชรราวกับมีใครมาโปรยเอาไว้ ในวันที่อากาศเย็นสบาย ถ้ำแห่งนี้จะกลายเป็นสวรรค์เล็ก ๆ ของนักผจญภัยเลยทีเดียว ทั้งนี้ลำคลองที่ไหลผ่านในถ้ำนั้น คือคลองมะนัง ที่มีต้นน้ำเกิดจากถ้ำโตนอยู่ทางเหนือของถ้ำป่าพน อำเภอมะนัง คลองมะนังแห่งนี้ได้ไหลออกปากถ้ำไปบรรจบกับคลองละงูซึ่งมีต้นน้ำเกิดจากภูเขาในจังหวัดตรังนั่นเอง เจ็ดคูหาของเจ็ดคต ลักษณะพิเศษของถ้ำเจ็ดคตอยู่ที่การมีลำคลองลอดถ้ำคดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำ ซึ่งมีถึง 7 คูหา และเป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ ต่อมาได้มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า “ถ้ำสัตคูหา” พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหาดังนี้ – คูหาที่ 1 เรียกว่า “สาวยิ้ม” ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกตมีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ – คูหาที่ 2 เรียกว่า “นางคอย” เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยงามและฝูงค้างคาวจำนวนมากที่สร้างความตื่นตาให้ทุกคนด้วยดวงตาวาววับที่ล้อไปกับแสงไฟ – คูหาที่ 3 เรียกว่า “เพชรร่วง” ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่องให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจะเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร – คูหาที่ 4 เรียกว่า “เจดีย์สามยอด” พื้นทางเดินเป็นหินลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ – คูหาที่ 5 เรียกว่า ” น้ำทิพย์” ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาวและน้ำตาลเป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน – คูหาที่ 6 เรียกว่า ” ฉัตรทอง” มีหินงอกหินย้อยซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร – คูหาที่ 7 เรียกว่า ” ส่องนภา” ภายในมีหินงอกหินย้อยรูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ